Search

บทบาทพนักงานสอบสวนในการกันคดีไม่ให้เข้าสู่กระบวนกา...

  • Share this:

บทบาทพนักงานสอบสวนในการกันคดีไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

วิทยานิพนธ์ ของชัยวิวัฒน์ หิรัญวัฒนะ เรื่อง “บทบาทพนักงานสอบสวนในการกันคดีไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” ได้กล่าวถึงสภาพปัญหาในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice Process) ของประเทศไทย เกิดจากปริมาณคดีที่เกิดขึ้นมีจำนวนมากและขาดมาตรการในการกันคดี ซึ่งก่อให้เกิดสภาพปัญหาความแออัดในเรือนจำ โดยปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวมิใช่ปัญหาของระบบราชทัณฑ์แต่เป็นปัญหาในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อหาแนวทางกำหนดรูปแบบและมาตรการในการกันคดีบางประเภท ไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นอัยการและศาล เพราะในปัจจุบันทฤษฎีการลงโทษผู้กระทำความผิด มิใช่แต่เพียงการลงโทษเพื่อการแก้แค้นและจะเกิดผลดีเสมอไป โดยเฉพาะเพื่อเป็นการลดปริมาณคดีเล็กๆ น้อยๆ หรือคดีที่ผู้กระทำความผิดไม่สมควรรับโทษจำคุก เพราะจะส่งผลกระทบต่อสถานะทางสังคม ทำให้เกิดรอยมลทิน (Stigma) เสมือนเป็นตราบาปทางสังคม จึงเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยขาดมาตรการในการกันคดี (Diversion) ไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งนับว่าเป็นมาตรการที่จำเป็นในสภาพปัจจุบัน
ดังนั้น พนักงานสอบสวนในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาถือเป็นจุดเริ่มต้นกระบวนการเมื่อคดีอาญาเกิดขึ้น และมีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างใกล้ชิด เห็นควรมีบทบาทในการหารูปแบบและมาตรการกันคดีบางประเภทให้ยุติได้ในชั้นพนักงานสอบสวน เพื่อช่วยลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาลและผู้ต้องขังล้นเรือนจำ จากผลการศึกษารูปแบบและมาตรการกันคดีของต่างประเทศ คือ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำมาปรับใช้เป็นบทบาทพนักงานสอบสวนของไทย คือ

รูปแบบและมาตรการในการกันคดี

วิทยานิพนธ์ ของนายชัยวิวัฒน์ หิรัญวัฒนะ ได้กล่าวถึงรูปแบบและมาตรการในการกันคดีของตำรวจญี่ปุ่น ที่ตำรวจได้รับมอบอำนาจจากอัยการเพื่อกันคดีบางประเภทให้ยุติได้ในชั้นพนักงานสอบสวนโดยไม่ต้องส่งคดีให้พนักงานอัยการ ได้แก่
1.ความผิดฐานลักทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก ที่จำนวนความเสียหายเล็กน้อย สภาพความผิดเล็กน้อย มีการชดใช้ความเสียหาย ผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้ลงโทษ และไม่มีเหตุให้เกรงว่าจะมีการกระทำความผิดขึ้นอีก
2.คดีการพนันที่มุ่งทรัพย์สินเล็กน้อย ซึ่งมีสภาพความผิดเล็กน้อย รวมทั้งไม่มีเหตุให้เกรงว่าผู้ร่วมกันกระทำความผิดจะมากระทำความผิดซ้ำอีก
3.คดีความผิดอื่นๆ ซึ่งอัยการจังหวัดระบุ
ซึ่งคดีทั้ง 3 ประเภทดังกล่าว ต้องเป็นที่แน่ชัดว่า การลงโทษเป็นสิ่งไม่จำเป็น และตามเกณฑ์ในการสอบสวนคดีอาญา (anzai sousa kihan) มาตรา 197 กำหนดหลักเกณฑ์ว่าในการจัดการคดีความผิดเล็กน้อยนั้นให้ตำรวจดำเนินการ ดังนี้
1) ตักเตือนผู้ต้องหาให้ระวังอนาคตของตนเอง
2)เรียกผู้ปกครอง นายจ้าง บุคคลที่อยู่ในฐานะควบคุมดูแล หรือตัวแทนของผู้กระทำความผิดให้มาพบ และทำหนังสือว่าจะควบคุมดูแลอนาคตผู้กระทำความผิดโดยจะตักเตือนผู้ต้องหาในเรื่องที่สำคัญ
3)ให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ความเสียหายแก่ผู้เสียหาย หรือขอโทษผู้เสียหาย หรือกระทำการอื่นที่เหมาะสม
ในคดีดังกล่าวไม่ต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เพียงแต่ในทุกเดือนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกรวมกันในเอกสารที่เรียกว่า “การจัดการคดีความผิดเล็กน้อย” ซึ่งต้องมีข้อมูล วัน เดือน ปี ที่จัดการ ชื่อผู้ต้องหา ประเด็นสำคัญในคดี ตามเกณฑ์ในการสอบสวนคดีอาญา มาตรา 195 , 196 เพื่อเป็นการตรวจสอบและควบคุมอำนาจการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พนักงานอัยการมอบอำนาจให้ดำเนินการ
รูปแบบและมาตรการในการกันคดีดังกล่าว ถือเป็นรูปแบบและมาตรการที่เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาญี่ปุ่น มาตรา 246 ตามหลักการสอบสวนญี่ปุ่นอาจกระทำโดยพนักงานอัยการหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือร่วมกันสอบสวน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนความผิดอาญาใด ต้องส่งคดีพร้อมด้วยเอกสาร และพยานวัตถุไปยังพนักงานอัยการโดยเร็ว เว้นแต่ คดีที่พนักงานอัยการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นซึ่งหมายถึง “มาตรการคดีความผิดเล็กน้อย” ตามประกาศอัยการสูงสุด ปี 1950 เรื่อง วิธีการส่งคดีพิเศษให้อัยการจังหวัดสั่งการต่อตำรวจ และตามเกณฑ์ในการสอบสวยคดีอาญา มาตรา 197
ซึ่งถือเป็นรูปแบบการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการที่มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในคดีประเภทความผิดเล็กน้อย นับเป็นรูปแบบและมาตรการในการกันคดีให้ยุติชั้นพนักงานสอบสวนได้อีกรูปแบบหนึ่งที่เห็นควรจะนำมาปรับใช้เป็นบทบาทพนักงานสอบสวนของไทยในการกันคดี ไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

รูปแบบและมาตรการในการกันคดีที่เหมาะสมของประเทศไทย

ชัยวัฒน์ หิรัญวัฒนะ ได้เสนอแนะในงานวิทยานิพนธ์ ว่ารูปแบบและมาตรการที่เหมาะสมในการนำมาปรับใช้เป็นบทบาทพนักงานสอบสวนของไทย คือ รูปแบบและมาตรการในการกันคดีของประเทศญี่ปุ่นเนื่องจาก ดังนี้
1.หลักการสอบสวนของญี่ปุ่นและไทยเช่นเดียวกัน คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจของญี่ปุ่นมีอำนาจสอบสวนแต่ถูกควบคุมโดยพนักงานอัยการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็มีอำนาจสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานทำความเห็นเสนอสำนวนให้พนักงานอัยการ ซึ่งเป็นการควบคุมโดยพนักงานอัยการเหมือนกัน
2.หลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของไทยไม่มีเช่นเดียวกับญี่ปุ่น คือ พนักงานอัยการญี่ปุ่นจะมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ โดยมีบทบัญญัติกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาญี่ปุ่น และประกาศอัยการสูงสุด วางระเบียบหลักเกณฑ์ในการสอบสวนคดีอาญา ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจัดการตามมาตรการคดีความผิดเล็กน้อย ให้ยุติคดีได้ในชั้นพนักงานสอบสวน โดยไม่ต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เพียงแต่ทุกเดือนต้องทำบันทึกการจัดการคดีความผิดเล็กน้อยถึงพนักงานอัยการเพื่อตรวจสอบเหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อหลักการสอบสวนและหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของไทยและญี่ปุ่นเหมือนกัน การใช้รูปแบบและมาตรการก็ควรจะใช้เหมือนกันได้ โดยการโอนอำนาจจากพนักงานอัยการมาได้บ้างและให้เพิ่มฐานความผิดเล็กน้อยหรือผลของการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นเล็กน้อย ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการโดยบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย หรือ ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ เพื่อกำหนดเกณฑ์การสอบสวนคดีอาญามอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจัดการคดีความผิดเล็กน้อย และบันทึกรายงานการจัดการคดีความผิดเล็กน้อยเสนอพนักงานอัยการทุกเดือนเพื่อตรวจสอบ ดังเช่นรูปแบบและมาตรการของญี่ปุ่น ดังนั้น รูปแบบและมาตรการของญี่ปุ่นจึงมีความเหมาะสมที่จะนำมาปรับใช้เป็นบทบาทพนักงานสอบสวนในการกันคดีไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทยต่อไป


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts